Blog 1: เรื่องของน้องภูมิ Melbourne

February 21, 2019

เริ่มต้นเดินทางไปเรียนที่เมลเบิร์นออสเตรเลีย

เริ่มต้นการเดินทางมาเรียนต่อที่ประเทศ Australia โดยเป้าหมายหลักครั้งนี้คือเรียนต่อ Graduate Diploma และ Master Degree สาขา Data Science ที่ The University of Melbourne ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในมหาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศนี้เลย เริ่มต้นเลยเราตั้งใจว่าอยากจะเรียนคอร์สภาษาอังกฤษก่อนที่จะเริ่มเรียนมหาลัยเพื่อเป็นการปรับตัวบวกกับเราสอบ IELTS ได้ไม่ถึง 6.5 เพราะความอ่อนด้อยทางภาษาของเรา ประจวบเหมาะพอดีเพราะที่มหาลัยมีคอร์สที่ชื่อว่า University of Melbourne English Bridging Program (UMELBP) คอร์สนี้มีไว้สำหรับคนที่ได้คะแนน IELTS 6.0 แบบว่าอีกนิดนึงก็จะผ่านแล้วแต่ก็ยังไม่ผ่านซักที โดยเราจะต้องเรียน 10 สัปดาห์และต้องสอบให้ได้คะแนนถึงเกณฑ์ เราถึงจะผ่านเข้าไปเรียนมหาลัยได้เลยโดยที่ไม่ต้องสอบ IELTS อีกซึ่งมันดูแล้วน่าจะชิวมากเลยใช่ไหม หารู้ไม่ว่านรกที่แท้จริงกำลังรอเราอยู่ แต่ก่อนที่จะเริ่มเรียนเราก็ต้องเริ่มต้นจากการเดินทางเสียก่อน

1.1   เริ่มต้นการเดินทางจริงๆแล้วนี่คือครั้งที่ 3 ที่เรามาที่ Melbourne แต่เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่คนเดียวซึ่งก็ค่อนข้างเหงาพอสมควรและต้องจัดการอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวคนเดียว วันแรกที่มาถึงที่นี่สิ่งแรกที่เราทำก็คือเปิดซิม (ที่สนามบิน) เป็นแบบ postpaid หรือรายเดือนนั่นเองโดยที่นี่หลักๆจะมี 2 ค่ายคือ Vodafone และ Optus แต่ว่าเราเลือก Optus เพราะตอนนั้นมันมีโปรพอดีแต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะอินเตอร์เน็ตที่นี่ไม่ว่าค่ายไหนก็ห่วยหมดเน็ตช้าและจุดอับสัญญาณเยอะแย่กว่าบ้านเรามากเพราะฉะนั้นแนะนำให้เทียบโปรของทั้ง 2 ค่ายแล้วเลือกอันที่คุ้มที่สุดโดยไม่ต้องสนใจชื่อค่าย จากนั้นเมื่อเปิดซิมเรียบร้อยเราก็ไปซื้อตั๋วขึ้นรถบัสจากสนามบินเข้าไปในเมือง ณจุดนี้ค่าตั๋วอยู่ที่ประมาณ 20 ดอลและใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีเราก็มาถึงในเมืองแถวๆสถานี Southern Cross Station ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาณีใหญ่ของที่นี่เลย จากนั้นเมื่อเข้ามาในเมืองแล้วเราต้องต่อรถไฟและรถแทรมเพื่อไปยังบ้านพักเพราะว่าบ้านเราห่างจากในเมืองประมาณ 40 นาที และแล้วหลังจากการเดินทางอันแสนยาวนานจากสุวรรณภูมิเราก็ถึงบ้านหลังใหม่จนได้เย้ๆ

1.2   ที่พักแรกใน Melbourne และครั้งแรกที่ได้พักในที่พักของ Airbnb ซึ่งเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นพอสมควรเพราะเราต้องไปพักอาศัยอยู่ในบ้านของคนที่เราไม่รู้จักเลยโดยสิ้นเชิง โดยที่พักของเราอยู่ที่ Suburb Camberwell ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองซักเท่าไหร่ เราจองที่พักนี้จากเมืองไทยซึ่งสาเหตุที่เลือกที่นี่เพราะใกล้โรงเรียนนั่นเองแบบว่าห่างกันประมาณไม่ถึง 2 Km และเป็นการจองระยะสั้น 2 สัปดาห์เพราะกะว่าจะมาหาที่พักเองต่อที่นี่ โดยส่วนตัวเราชอบที่พักนี้มากทั้งสะอาด เงียบสงบ อยู่ไม่ไกลจากซุปเปอร์มาเก็ต และที่สำคัญมีแค่เราอยู่กับโฮส 2 คนซึ่งโฮสของเราชื่อว่าโจซี่เป็นคน Italian ที่เกิดและโตที่นี่และที่สำคัญเป็นโฮสที่น่ารักมาก

1.3    กลับมาสู่ชีวิตวัยเรียนอีกครั้งหลังจากทำงานมาเกือบ 1 ปี ก็เป็นอะไรที่ชวนให้น่าคิดถึงเหมือนกันแต่ก็แลกมาด้วยการปรับตัวครั้งใหญ่ทั้ง สังคม ภาษา และที่สำคัญประเทศใหม่ช่างเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นเหลือเกิน ก่อนหน้าที่จะเปิดเรียนเราต้องไปปฐมนิเนศซะก่อนซึ่งในวันนั้นสังเกตุได้ชัดเลยว่ามีแต่คนจีนมากกว่า 90% และที่สำคัญเด็กทั้งหมดที่เรียนคอร์สเดียวกับเรามีตั้งเกือบ 500 คน คนจีนนี่ครองโลกจริงๆ

1.4   ถัดจากปฐมนิเทศไปไม่กี่วันก็ถึงวันเปิดเทอมวันแรก ก่อนหน้าเราได้แต่คิดว่าเราจะมีเพื่อนชาติไหนบ้างนะ สรุปแล้วเมื่อเราเข้าไปถึงห้องเรียนมีคนจีน 16 คน และคนไทย 2 คน รวมเราด้วยโอ้มายก้อดนี่มันไม่มีความหลายหลายทางเชื้อชาติเลยโดยสิ้นเชิง แต่เราก็ไม่ได้คิดมาก และแล้วช่วงเวลาแห่งความทุกข์ก็กำลังจะเริ่มต้นในโรงเรียนนี้

1.5  ตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงเนิร์ดและเรื่องเล่าเกี่ยวกับคอร์สเรียนที่มีชื่อว่า University of Melbourne English Bridging Program (UMELBP) เริ่มต้นเลยคือคอร์สนี้มีความยาว 10 สัปดาห์โดยแบ่งครึ่งเรียน 5 สัปดาห์ พัก 2 สัปดาห์ และเรียนอีก 5 สัปดาห์ ครึ่งแรกจะเน้นไปที่การอ่านและเขียนครึ่งหลังจะเน้นการฟังและพูด ส่วนการเก็บคะแนนจะแบ่งเป็น 4 ส่วนได้แก่ Task1 Mid Exam (25%), Task2 Assignment (25%), Task3 Final Exam (30%) และ Task4 Presentation (20%) โดยช่วงสัปดาห์แรกๆจะเน้นไปที่การเขียนและการวิเคราห์เนื้อหาใน reading หรือที่นี่เค้าเรียกว่า Critical Thinking ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เราได้ใช้ในการสอบกลางภาคจากนั้นก็จะแทรกไปด้วยวิธีการทำ Assignment ซึ่งเจ้างานชิ้นนี้ก็คือ Essay แบบ Academic writing 2000 คำโอ้โหเยอะมากเลยขนาดเขียนภาษาไทยยังว่าเยอะเลยแล้วนี่ต้องมาเขียนภาษาอังกฤษ ตายแปป!! ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาเล่ารายละเอียดในแต่ละ Task ให้ฟังอีกทีเพื่อตอกย้ำความนรกของคอร์สนี้

1.6   ก่อนที่จะสอบ Mid Exam หรือ Task1 เราจะมีเวลาเรียนและเตรียมตัวประมาณเกือบ 5 สัปดาห์ ซึ่งการเรียนการสอนจะเน้นไปที่การเขียนและการอ่านจับใจความเพราะว่าข้อสอบนั้นจะให้บทความเรามา 2 บทความให้เราอ่านสรุปและหาความแตกต่างระหว่างของแต่ละบทความเป็นเวลาบทความละ 30 นาที จากนั้นจะให้เวลาเราเขียน 2 ชั่วโมง โดยเราจะต้องเขียนจำนวน 500 คำประกอบด้วย 5 paragraphs ดังนี้

        1. Introduction

        2. Summarize reading1

        3. Summarize reading2

        4. Compare reading1+2

        5. Opinion

และจะมี Practice Exam ให้ทดสอบและตรวจเหมือนสอบจริง 1 ครั้งให้เราลองสนามและประเมินตัวเอง เป็นไงละก็เหมือนจะดูไม่ยากนะแถมมีให้เราลองสอบก่อน 1 ครั้งด้วย และแล้วนี่คือความจริง เราตก Practice Exam 5555 เอาจริงๆก็เกือบผ่านแหละแต่ว่าเราเขียนจำนวนคำน้อยเกินไปเลยโดนหักคะแนนแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่านี่คือรอบทดลอง ซึ่งเราจะได้เห็นข้อผิดพลาดของตัวเองจากประสบการณ์ในห้องสอบและจาก Feedback ที่ครูเราตรวจให้และจะได้เอาไปพัฒนาตัวเองในการสอบจริงต่อไป จากนั้นผ่านมาอีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็ถึงเวลาสอบจริง ซึ่งเราคิดว่าเราเองทำได้ดีกว่าตอนรอบทดลอง และที่สำคัญเขียนถึง 500 คำส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไงไว้มารอลุ้นกันตอนจบนะ

1.7   มาพูดถึง Assignment หรือ Task2 กันบ้างดีกว่า เจ้างานชิ้นนี้คืองานเขียน Essay 2000 คำโดยหัวข้อที่เราเลือกจะต้องเป็นหัวข้อภายในสาขาที่เราจะเรียนต่อหรือสาขาที่เราเรียนมาเช่นเราจบ วิศวะไฟฟ้ามาหัวข้อเราก็จะเกี่ยวกับไฟฟ้าและต้องเป็น Innovation, Theory และ Principle เท่านั้นและต้องมี Reference แบบ Academic อย่างน้อย 10 ตัวเช่น หนังสือ, Journal, Paper และ Website (.gov, .org) ซึ่งทั้งหมดต้องตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ โดยครูจะอธิบายแบบฟอร์มและขั้นตอนการเขียนแทรกตลอด 5 สัปดาห์แรก โดยจะแบ่งหลักๆดังนี้

        1. Introduction

        2. Explanation

        3. Application

        4. Evaluation

        5. Conclusion

        6. Reference

สิ่งที่แปลกใหม่มากสำหรับเรามากที่สุดคือการทำ Reference โดยต้องทำทั้ง In-text Reference ซึ่งจะต้องอ้างอิงเนื้อหาที่เราดึงมาจาก Source อื่นมาเขียนในงานของเรา และ Reference List โดยทั้งหมดนี้ต้องยึดตามมาตรฐาน APA ซึ่งจริงๆแล้วการทำ Reference เป็นอะไรที่ไม่ยากแต่คอนข้างจุกจิกและเสียเวลามาก ที่สำคัญที่สุดตอนเราส่งงานชิ้นนี้จะต้องส่งบน website ที่ตรวจสอบว่าเราไปลอกหรือ copy paste ใครมารึป่าวถ้าเปอร์เซ็นความเหมือนสูงก็จะโดนตัดคะแนนด้วย และแล้วหลังจากการเรียน การสอบ และการทำ assignment ช่วงเวลา 5 สัปดาห์แรกก็ได้ผ่านไปจนมาถึงช่วงวันหยุด 2 สัปดาห์

1.8 ช่วงหยุด 2 สัปดาห์เป็นช่วงเวลาที่เราได้หยุดพักจากการเรียนและได้มีเวลาได้ผ่อนคลายอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่วายต้องมาทำเจ้า 2000 คำของเราต่อไปเพราะเราต้องส่งเจ้างานชิ้นนี้สัปดาห์ที่ 7 ของการเรียน หลังจากช่วงหยุดพัก 2 สัปดาห์ก็กลับสู่การเรียนอีกครั้ง ในครึ่งหลังนี้ตัวหลักสูตรจะเน้นไปที่การฟังและฝึก Present ซะเป็นส่วนใหญ่เพื่อที่จะเตรียมพร้อมเราสำหรับ Task3 และ Task4 นั้นเอง

image

1.9 ถัดจากสอบกลางภาคก็ต้องมีสอบปลายภาคสินะ นั่นก็คือเจ้าตัว Task3 นั่นเองซึ่งความยาวก็คือ 500 คำเหมือนเดิมแต่การแบ่ง paragraph จะแตกต่างกับรอบกลางภาคนิดหน่อยดังนี้

        1. Introduction

        2. Body paragraph

        3. Conclusion

ซึ่งส่วนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงคือรอบปลายภาคนั้นมี Listening ด้วยซึ่งส่วนนี้จะเป็นการฟัง Lecture จากเทปประมาณ 10-15 นาทีโดยเทปจะพูดหัวข้อประมาณ 5-6 หัวข้อ และเรามีหน้าที่ต้องจดหัวข้อเหล่านั้นไว้ จากนั้นจะมีบทความเรื่องใกล้เคียงกันมาให้เราอ่านเป็นเวลา 30 นาทีซึ่งเราจะต้องนำหัวข้อจากการฟังมา match กับเนื้อหาภายใน reading และนำมาเขียน body paragraph และที่สำคัญข้อสอบจะมีโจทย์ให้เราตอบเช่น คุณคิดว่าหัวข้อไหนน่าจะมีความเป็นไปได้ที่สุด เป็นต้น ให้เราตอบในส่วนของ Conclusion โดยต้องนำข้อมูลจาก reading มาสนับสนุนความคิดของเราด้วย และนี่คือส่วนของข้อสอบปลายภาคส่วนผลสอบนั้นจะมาเล่าให้ฟังตอนจบนะอดใจอีกนิด

image

 

1.10   เข้าถึงส่วนสุดท้ายแล้วนั่นก็คือ Task4 หรือ Presentation นั่นเองซึ่งก่อนหน้าที่เราจะทำการ present จริงในสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน ครูก็จะฝึกเราโดยให้เราทำ mini presentation มาเรื่อยๆเพื่อเพิ่มความมั่นใจและแก้ไขจุดด้อยของเรา โดยเรื่องที่เราจะนำเสนอนั้นก็คือเรื่องเดียวกับที่เราทำ Assignment นั่นแหละซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะเราเองก็คุ้นชินกับมันอยู่แล้วเพราะทุ่มเวลาให้มันมานานโดยวันจริงเราจะต้องนำมี power point และมีเวลาจำกัด 12-15 นาที จากนั้นก็มาถึงวันแห่งการนำเสนอซึ่งเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกับการต้องนำเสนออะไรซักอย่างเป็นภาษาอังกฤษล้วน ซึ่งเราคิดว่าตัวเราเองทำได้ดีพอสมควรเพราะว่าเราฝึกมาเยอะมาก ซึ่งก็รอลุ้นผลทีเดียวแต่ว่าตอนนี้เราเรียนจบแล้วเย้

1.11 ในส่วนนี้เราจะมาสรุปคอร์สเรียนที่ชื่อว่า UMELBP ให้ฟัง ส่วนตัวเราคิดว่าคอร์สนี้ทำขึ้นมาได้ดีพอสมควรในแง่ของการผลักดันนักเรียน เพราะว่าทั้งกดดัน งานยากและเยอะ และการสอบที่โหดหิน โดยเราจะต้องสอบให้ผ่านเกณฑ์ของที่นี่ก็คือ 65% และต้องสอบผ่านอย่างน้อยไม่รอบกลางภาคก็ปลายภาคดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะคะแนนเกินเกณฑ์แต่ถ้าเราสอบตกทั้ง 2 รอบเราก็จะไม่ผ่านคอร์สนี้ ซึ่งจะเป็นการกดดันเด็กที่สอบตกรอบแรกให้เครียดและขยันขึ้นเป็นอย่างมาก เรามองว่าคอร์สแบบนี้จะเหมาะกับคนที่ยังไม่มั่นใจในภาษาของตัวเองและอยากเรียนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับมหาวิทยาลัย สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกทุกคนว่าเราสอบผ่านแหละ และก็ต้องขอขอบคุณพี่ๆของ ALLOที่ช่วยเหลือเราในหลายๆเรื่องเลย

image
image
image

วางแพลนเรียนต่อออสเตรเลียกับ ALLO

กรอกข้อมูลเพื่อรับคำปรึกษาเรียนต่อออสเตรเลีย
ฟรีทุกขั้นตอน ไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดทั้งโครงการ

Thank you! Your submission has been received!
Oops! Something went wrong while submitting the form.

บริษัท แอลโล อินเตอร์เนชั่นแนล คอนซัลแทนซี จำกัด
499/113 ม.บ้านสวนราชา ถนน กรุงเทพกรีฑา แขวงหัวหมาก
เขตบางกะปิ กทม.10240

ดูแลต่อเนื่องตั้งแต่ก้าวแรก ตั้งแต่การสมัครเรียน ติดต่อขอวีซ่า วางแพลนไปออสเตรเลียกับ ALLO