เริ่มต้นเดินทางไปเรียนที่เมลเบิร์นออสเตรเลีย
เริ่มต้นการเดินทางมาเรียนต่อที่ประเทศ Australia โดยเป้าหมายหลักครั้งนี้คือเรียนต่อ Graduate Diploma และ Master Degree สาขา Data Science ที่ The University of Melbourne ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในมหาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศนี้เลย เริ่มต้นเลยเราตั้งใจว่าอยากจะเรียนคอร์สภาษาอังกฤษก่อนที่จะเริ่มเรียนมหาลัยเพื่อเป็นการปรับตัวบวกกับเราสอบ IELTS ได้ไม่ถึง 6.5 เพราะความอ่อนด้อยทางภาษาของเรา ประจวบเหมาะพอดีเพราะที่มหาลัยมีคอร์สที่ชื่อว่า University of Melbourne English Bridging Program (UMELBP) คอร์สนี้มีไว้สำหรับคนที่ได้คะแนน IELTS 6.0 แบบว่าอีกนิดนึงก็จะผ่านแล้วแต่ก็ยังไม่ผ่านซักที โดยเราจะต้องเรียน 10 สัปดาห์และต้องสอบให้ได้คะแนนถึงเกณฑ์ เราถึงจะผ่านเข้าไปเรียนมหาลัยได้เลยโดยที่ไม่ต้องสอบ IELTS อีกซึ่งมันดูแล้วน่าจะชิวมากเลยใช่ไหม หารู้ไม่ว่านรกที่แท้จริงกำลังรอเราอยู่ แต่ก่อนที่จะเริ่มเรียนเราก็ต้องเริ่มต้นจากการเดินทางเสียก่อน
1.1 เริ่มต้นการเดินทางจริงๆแล้วนี่คือครั้งที่ 3 ที่เรามาที่ Melbourne แต่เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่คนเดียวซึ่งก็ค่อนข้างเหงาพอสมควรและต้องจัดการอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวคนเดียว วันแรกที่มาถึงที่นี่สิ่งแรกที่เราทำก็คือเปิดซิม (ที่สนามบิน) เป็นแบบ postpaid หรือรายเดือนนั่นเองโดยที่นี่หลักๆจะมี 2 ค่ายคือ Vodafone และ Optus แต่ว่าเราเลือก Optus เพราะตอนนั้นมันมีโปรพอดีแต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะอินเตอร์เน็ตที่นี่ไม่ว่าค่ายไหนก็ห่วยหมดเน็ตช้าและจุดอับสัญญาณเยอะแย่กว่าบ้านเรามากเพราะฉะนั้นแนะนำให้เทียบโปรของทั้ง 2 ค่ายแล้วเลือกอันที่คุ้มที่สุดโดยไม่ต้องสนใจชื่อค่าย จากนั้นเมื่อเปิดซิมเรียบร้อยเราก็ไปซื้อตั๋วขึ้นรถบัสจากสนามบินเข้าไปในเมือง ณจุดนี้ค่าตั๋วอยู่ที่ประมาณ 20 ดอลและใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีเราก็มาถึงในเมืองแถวๆสถานี Southern Cross Station ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาณีใหญ่ของที่นี่เลย จากนั้นเมื่อเข้ามาในเมืองแล้วเราต้องต่อรถไฟและรถแทรมเพื่อไปยังบ้านพักเพราะว่าบ้านเราห่างจากในเมืองประมาณ 40 นาที และแล้วหลังจากการเดินทางอันแสนยาวนานจากสุวรรณภูมิเราก็ถึงบ้านหลังใหม่จนได้เย้ๆ
1.2 ที่พักแรกใน Melbourne และครั้งแรกที่ได้พักในที่พักของ Airbnb ซึ่งเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นพอสมควรเพราะเราต้องไปพักอาศัยอยู่ในบ้านของคนที่เราไม่รู้จักเลยโดยสิ้นเชิง โดยที่พักของเราอยู่ที่ Suburb Camberwell ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองซักเท่าไหร่ เราจองที่พักนี้จากเมืองไทยซึ่งสาเหตุที่เลือกที่นี่เพราะใกล้โรงเรียนนั่นเองแบบว่าห่างกันประมาณไม่ถึง 2 Km และเป็นการจองระยะสั้น 2 สัปดาห์เพราะกะว่าจะมาหาที่พักเองต่อที่นี่ โดยส่วนตัวเราชอบที่พักนี้มากทั้งสะอาด เงียบสงบ อยู่ไม่ไกลจากซุปเปอร์มาเก็ต และที่สำคัญมีแค่เราอยู่กับโฮส 2 คนซึ่งโฮสของเราชื่อว่าโจซี่เป็นคน Italian ที่เกิดและโตที่นี่และที่สำคัญเป็นโฮสที่น่ารักมาก
1.3 กลับมาสู่ชีวิตวัยเรียนอีกครั้งหลังจากทำงานมาเกือบ 1 ปี ก็เป็นอะไรที่ชวนให้น่าคิดถึงเหมือนกันแต่ก็แลกมาด้วยการปรับตัวครั้งใหญ่ทั้ง สังคม ภาษา และที่สำคัญประเทศใหม่ช่างเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นเหลือเกิน ก่อนหน้าที่จะเปิดเรียนเราต้องไปปฐมนิเนศซะก่อนซึ่งในวันนั้นสังเกตุได้ชัดเลยว่ามีแต่คนจีนมากกว่า 90% และที่สำคัญเด็กทั้งหมดที่เรียนคอร์สเดียวกับเรามีตั้งเกือบ 500 คน คนจีนนี่ครองโลกจริงๆ
1.4 ถัดจากปฐมนิเทศไปไม่กี่วันก็ถึงวันเปิดเทอมวันแรก ก่อนหน้าเราได้แต่คิดว่าเราจะมีเพื่อนชาติไหนบ้างนะ สรุปแล้วเมื่อเราเข้าไปถึงห้องเรียนมีคนจีน 16 คน และคนไทย 2 คน รวมเราด้วยโอ้มายก้อดนี่มันไม่มีความหลายหลายทางเชื้อชาติเลยโดยสิ้นเชิง แต่เราก็ไม่ได้คิดมาก และแล้วช่วงเวลาแห่งความทุกข์ก็กำลังจะเริ่มต้นในโรงเรียนนี้
1.5 ตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงเนิร์ดและเรื่องเล่าเกี่ยวกับคอร์สเรียนที่มีชื่อว่า University of Melbourne English Bridging Program (UMELBP) เริ่มต้นเลยคือคอร์สนี้มีความยาว 10 สัปดาห์โดยแบ่งครึ่งเรียน 5 สัปดาห์ พัก 2 สัปดาห์ และเรียนอีก 5 สัปดาห์ ครึ่งแรกจะเน้นไปที่การอ่านและเขียนครึ่งหลังจะเน้นการฟังและพูด ส่วนการเก็บคะแนนจะแบ่งเป็น 4 ส่วนได้แก่ Task1 Mid Exam (25%), Task2 Assignment (25%), Task3 Final Exam (30%) และ Task4 Presentation (20%) โดยช่วงสัปดาห์แรกๆจะเน้นไปที่การเขียนและการวิเคราห์เนื้อหาใน reading หรือที่นี่เค้าเรียกว่า Critical Thinking ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เราได้ใช้ในการสอบกลางภาคจากนั้นก็จะแทรกไปด้วยวิธีการทำ Assignment ซึ่งเจ้างานชิ้นนี้ก็คือ Essay แบบ Academic writing 2000 คำโอ้โหเยอะมากเลยขนาดเขียนภาษาไทยยังว่าเยอะเลยแล้วนี่ต้องมาเขียนภาษาอังกฤษ ตายแปป!! ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาเล่ารายละเอียดในแต่ละ Task ให้ฟังอีกทีเพื่อตอกย้ำความนรกของคอร์สนี้
1.6 ก่อนที่จะสอบ Mid Exam หรือ Task1 เราจะมีเวลาเรียนและเตรียมตัวประมาณเกือบ 5 สัปดาห์ ซึ่งการเรียนการสอนจะเน้นไปที่การเขียนและการอ่านจับใจความเพราะว่าข้อสอบนั้นจะให้บทความเรามา 2 บทความให้เราอ่านสรุปและหาความแตกต่างระหว่างของแต่ละบทความเป็นเวลาบทความละ 30 นาที จากนั้นจะให้เวลาเราเขียน 2 ชั่วโมง โดยเราจะต้องเขียนจำนวน 500 คำประกอบด้วย 5 paragraphs ดังนี้
1. Introduction
2. Summarize reading1
3. Summarize reading2
4. Compare reading1+2
5. Opinion
และจะมี Practice Exam ให้ทดสอบและตรวจเหมือนสอบจริง 1 ครั้งให้เราลองสนามและประเมินตัวเอง เป็นไงละก็เหมือนจะดูไม่ยากนะแถมมีให้เราลองสอบก่อน 1 ครั้งด้วย และแล้วนี่คือความจริง เราตก Practice Exam 5555 เอาจริงๆก็เกือบผ่านแหละแต่ว่าเราเขียนจำนวนคำน้อยเกินไปเลยโดนหักคะแนนแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่านี่คือรอบทดลอง ซึ่งเราจะได้เห็นข้อผิดพลาดของตัวเองจากประสบการณ์ในห้องสอบและจาก Feedback ที่ครูเราตรวจให้และจะได้เอาไปพัฒนาตัวเองในการสอบจริงต่อไป จากนั้นผ่านมาอีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็ถึงเวลาสอบจริง ซึ่งเราคิดว่าเราเองทำได้ดีกว่าตอนรอบทดลอง และที่สำคัญเขียนถึง 500 คำส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไงไว้มารอลุ้นกันตอนจบนะ
1.7 มาพูดถึง Assignment หรือ Task2 กันบ้างดีกว่า เจ้างานชิ้นนี้คืองานเขียน Essay 2000 คำโดยหัวข้อที่เราเลือกจะต้องเป็นหัวข้อภายในสาขาที่เราจะเรียนต่อหรือสาขาที่เราเรียนมาเช่นเราจบ วิศวะไฟฟ้ามาหัวข้อเราก็จะเกี่ยวกับไฟฟ้าและต้องเป็น Innovation, Theory และ Principle เท่านั้นและต้องมี Reference แบบ Academic อย่างน้อย 10 ตัวเช่น หนังสือ, Journal, Paper และ Website (.gov, .org) ซึ่งทั้งหมดต้องตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ โดยครูจะอธิบายแบบฟอร์มและขั้นตอนการเขียนแทรกตลอด 5 สัปดาห์แรก โดยจะแบ่งหลักๆดังนี้
1. Introduction
2. Explanation
3. Application
4. Evaluation
5. Conclusion
6. Reference
สิ่งที่แปลกใหม่มากสำหรับเรามากที่สุดคือการทำ Reference โดยต้องทำทั้ง In-text Reference ซึ่งจะต้องอ้างอิงเนื้อหาที่เราดึงมาจาก Source อื่นมาเขียนในงานของเรา และ Reference List โดยทั้งหมดนี้ต้องยึดตามมาตรฐาน APA ซึ่งจริงๆแล้วการทำ Reference เป็นอะไรที่ไม่ยากแต่คอนข้างจุกจิกและเสียเวลามาก ที่สำคัญที่สุดตอนเราส่งงานชิ้นนี้จะต้องส่งบน website ที่ตรวจสอบว่าเราไปลอกหรือ copy paste ใครมารึป่าวถ้าเปอร์เซ็นความเหมือนสูงก็จะโดนตัดคะแนนด้วย และแล้วหลังจากการเรียน การสอบ และการทำ assignment ช่วงเวลา 5 สัปดาห์แรกก็ได้ผ่านไปจนมาถึงช่วงวันหยุด 2 สัปดาห์
1.8 ช่วงหยุด 2 สัปดาห์เป็นช่วงเวลาที่เราได้หยุดพักจากการเรียนและได้มีเวลาได้ผ่อนคลายอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่วายต้องมาทำเจ้า 2000 คำของเราต่อไปเพราะเราต้องส่งเจ้างานชิ้นนี้สัปดาห์ที่ 7 ของการเรียน หลังจากช่วงหยุดพัก 2 สัปดาห์ก็กลับสู่การเรียนอีกครั้ง ในครึ่งหลังนี้ตัวหลักสูตรจะเน้นไปที่การฟังและฝึก Present ซะเป็นส่วนใหญ่เพื่อที่จะเตรียมพร้อมเราสำหรับ Task3 และ Task4 นั้นเอง
1.9 ถัดจากสอบกลางภาคก็ต้องมีสอบปลายภาคสินะ นั่นก็คือเจ้าตัว Task3 นั่นเองซึ่งความยาวก็คือ 500 คำเหมือนเดิมแต่การแบ่ง paragraph จะแตกต่างกับรอบกลางภาคนิดหน่อยดังนี้
1. Introduction
2. Body paragraph
3. Conclusion
ซึ่งส่วนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงคือรอบปลายภาคนั้นมี Listening ด้วยซึ่งส่วนนี้จะเป็นการฟัง Lecture จากเทปประมาณ 10-15 นาทีโดยเทปจะพูดหัวข้อประมาณ 5-6 หัวข้อ และเรามีหน้าที่ต้องจดหัวข้อเหล่านั้นไว้ จากนั้นจะมีบทความเรื่องใกล้เคียงกันมาให้เราอ่านเป็นเวลา 30 นาทีซึ่งเราจะต้องนำหัวข้อจากการฟังมา match กับเนื้อหาภายใน reading และนำมาเขียน body paragraph และที่สำคัญข้อสอบจะมีโจทย์ให้เราตอบเช่น คุณคิดว่าหัวข้อไหนน่าจะมีความเป็นไปได้ที่สุด เป็นต้น ให้เราตอบในส่วนของ Conclusion โดยต้องนำข้อมูลจาก reading มาสนับสนุนความคิดของเราด้วย และนี่คือส่วนของข้อสอบปลายภาคส่วนผลสอบนั้นจะมาเล่าให้ฟังตอนจบนะอดใจอีกนิด
1.10 เข้าถึงส่วนสุดท้ายแล้วนั่นก็คือ Task4 หรือ Presentation นั่นเองซึ่งก่อนหน้าที่เราจะทำการ present จริงในสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน ครูก็จะฝึกเราโดยให้เราทำ mini presentation มาเรื่อยๆเพื่อเพิ่มความมั่นใจและแก้ไขจุดด้อยของเรา โดยเรื่องที่เราจะนำเสนอนั้นก็คือเรื่องเดียวกับที่เราทำ Assignment นั่นแหละซึ่งก็เป็นเรื่องดีเพราะเราเองก็คุ้นชินกับมันอยู่แล้วเพราะทุ่มเวลาให้มันมานานโดยวันจริงเราจะต้องนำมี power point และมีเวลาจำกัด 12-15 นาที จากนั้นก็มาถึงวันแห่งการนำเสนอซึ่งเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกับการต้องนำเสนออะไรซักอย่างเป็นภาษาอังกฤษล้วน ซึ่งเราคิดว่าตัวเราเองทำได้ดีพอสมควรเพราะว่าเราฝึกมาเยอะมาก ซึ่งก็รอลุ้นผลทีเดียวแต่ว่าตอนนี้เราเรียนจบแล้วเย้
1.11 ในส่วนนี้เราจะมาสรุปคอร์สเรียนที่ชื่อว่า UMELBP ให้ฟัง ส่วนตัวเราคิดว่าคอร์สนี้ทำขึ้นมาได้ดีพอสมควรในแง่ของการผลักดันนักเรียน เพราะว่าทั้งกดดัน งานยากและเยอะ และการสอบที่โหดหิน โดยเราจะต้องสอบให้ผ่านเกณฑ์ของที่นี่ก็คือ 65% และต้องสอบผ่านอย่างน้อยไม่รอบกลางภาคก็ปลายภาคดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะคะแนนเกินเกณฑ์แต่ถ้าเราสอบตกทั้ง 2 รอบเราก็จะไม่ผ่านคอร์สนี้ ซึ่งจะเป็นการกดดันเด็กที่สอบตกรอบแรกให้เครียดและขยันขึ้นเป็นอย่างมาก เรามองว่าคอร์สแบบนี้จะเหมาะกับคนที่ยังไม่มั่นใจในภาษาของตัวเองและอยากเรียนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับมหาวิทยาลัย สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกทุกคนว่าเราสอบผ่านแหละ และก็ต้องขอขอบคุณพี่ๆของ ALLOที่ช่วยเหลือเราในหลายๆเรื่องเลย